เรื่องสั้น      ไอ้เดชชอบอีสา (ตอนที่ 1)



ไอ้เดชชอบอีสา (ตอนที่ 1)

เกลียว ฟางกรอบ






ไอ้เดช จัดอยู่ในพวกวัยรุ่นกลางใหม่... เพราะอายุอานามของมันก็ย่างเข้า 21 ปีมาแล้ว เรียกว่าเลยโค้งวัยรุ่นมานิดหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงป้ายของการเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว

เรื่องการดูหนังดูละคร ไอ้เดชไม่ค่อยติดใจเท่าไร มันไม่ใช่พวกที่ดูละครทุกตอนจนจบเรื่อง สำหรับละครโทรทัศน์ มันก็เลือกดูเป็นบางตอนและบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่มีนางเอกที่มันชื่นชอบแสดงนำเท่านั้นแหละ

อย่างละครเรื่อง “อีสา” นางเอกที่แสดงเป็น “อีสา” นั้น ไอ้เดชถูกใจจัง ผู้หญิงอะไรสวยงามน่ารักจริงๆ มันยังจำได้ ดาราคนนี้เคยเป็นนางเอกละครโทรทัศน์เรื่อง... มาแล้วด้วย และมันยังฝันเฟื่องต่อไปอีกว่า ถ้ามันจะหาเมียสักคน คงต้องเลือกผู้หญิงแบบสวยงาม อ่อนหวาน น่ารักอย่างนี้แน่ๆ เลย แต่ที่สำคัญต้องมุสลิมะห์และปกปิดเอาเราะห์ให้ถูกต้องด้วย ก็มีสิทธที่จะฝันไปตามประสาของชายหนุ่มที่ยังมีความว้าเหว่อยู่ในจิตใจ โดยเฉพาะเช่นเดียวกับเรื่องคู่ครองของมันนั้นแหละนะ

เฉพาะละครโทรทัศน์เรื่อง “อีสา” ได้เดชพยายามเฝ้าติดตามดูเกือบทุกตอน โดยเฉพาะตอนจบได้เดชประทับใจมาก ที่ได้มองเห็นธรรมชาติริมฝั่งแม่น้ำที่งดงามเหลือเกิน ในฉากหนึ่งมีลูกชายของ “อีสา” ในเรื่องและว่าที่ลูกสะใภ้กำลังเล่นน้ำ และพูดคุยกันอยู่กระหนุงกระหนิงที่ท่าน้ำหน้าบ้าน

ฝ่ายชายถามว่า “ถ้าผมจะมาหัดว่ายน้ำที่นี่ทุกวัน จะได้ไหมครับ....”

ว่าที่ลูกสะใภ้ “อีสา” ก็หันไปมอง ทำตาแป๋วและเขินอาย แบบสาวโบราณผู้บริสุทธิ์ผ่องใส แล้วก็ยิ้มและตอบว่า

“ได้สิค่ะ แต่ต่อไปนี้ธรรมชาติที่สวยงามอย่างนี้คงจะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เพราะธนาคารโลกจะเข้ามาวางแผนพัฒนาประเทศให้ทันสมัย มีตึกรามบ้านช่องที่สวยงาม แม่น้ำ สิ่งแวดล้อมและความงามตามธรรมชาติของบ้านเมืองจะต้องเปลี่ยนแปลงไป”

ไอ้เดช ไม่สามารถจะจำคำพูดของตัวละครได้ทุกคำ พูดให้ชัดเจนหมดได้ แต่มันพอจะสรุปได้ว่า จะมีผู้ที่เข้าช่วยพัฒนาประเทศบ้านเมืองของเราให้เจริญ

ถ้ามองจากประเทศของเราลงมาเป็นจังหวัด จากจังหวัดลงมาถึงอำเภอ จากอำเภอลงมาเป็นตำบล จากตำบลลงมาถึงหมู่บ้าน และจากหมู่บ้านลงมาถึงครอบครัว

สมมุติว่าเป็นครอบครัวของไอ้เดชเอง ซึ่งมีบ้านไม้เก่าๆ อยู่หลังหนึ่ง อยู่ๆ มา ก็มีเถ้าแก่ใหญ่มาเสนอจะให้เงินปรับปรุงซ่อมแซมหรือสร้างบ้านใหม่ให้ใหญ่โต โอ่อ่า มีรั้วรอบขอบชิด มีเฟอร์นิเจอร์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายภายในบ้าน

โดยมีเถ้าแก่คนนั้นเป็นผู้วางแผนให้เอง ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไรในการพัฒนาบ้านหลังนี้ เขาจะเป็นผู้หาช่างมาให้ จัดหาวัสดุก่อสร้าง และจัดการเรื่องอื่นๆ ให้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่เถ้าแก่ร้อยละเท่าไร และกำหนดส่งต้นเมื่อไร และต้องยอมให้เถ้าแก่เข้าๆ ออกๆ อยู่ในบ้านได้โดยไม่จำกัดเวลาและโอกาส

ไอ้เดชคิดว่าน่าจะอยู่แบบเดิมๆ ตามประสีประสาพี่ๆ น้องๆ ดีกว่าที่จะให้ใครไม่รู้เข้ามาบงการภารกิจของบ้าน หยิบฉวยเอาอะไรไปบ้างไม่รู้ซิ

เมื่อไปอบรมคราวที่แล้ว วิทยากรเขาบอกว่า เวลานี้ธนาคารโลกให้ประเทศเรากู้เงินมาตั้ง 4,800 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ประเทศไทยจะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เขาร้อยละ 7 และจะต้องจ่ายเงินต้นคืนเขาในลักษณะเงินดอลล่าร์สหรัฐ พอถึงตอนที่ประเทศของเรา สามารถที่จะใช้หนี้ธนาคารโลกได้นั้น ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินไทยกี่สิบกี่ร้อยบาทถึงจะพอซื้อเงินดอลล่าร์สหรัฐได้ 1 ดอลล่าร์ ไอ้เดชคิดแล้วขนหัวลุกตั้งชัน

ท่านวิทยากรบอกต่อไปอีกว่าถ้าชุมชนใดมีโครงการดีๆ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ก็สามารถเสนอขึ้นไปของบประมาณนั้นมาใช้จ่ายๆ ซึ่งเป็นเงินให้เปล่าและประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้คืนให้กับรัฐบาล

ถ้าประชาชนใช้เงินส่วนนี้ได้โดยไม่ต้องชำระคืนให้กับเจ้าของหนี้ที่ไปยืมเขามา หน้าที่ชำระหนี้ก็จะตกอยู่กับรัฐบาล แล้วรัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนไปชำระหนี้เหล่านั้น ไอ้เดชคิดไม่ออก ถ้าเป็นตอนเด็กๆ ไอ้เดชไม่ต้องคิดให้ปวดหัวปวดขมับ เพราะตอนเป็นเด็กนั้นมันคิดว่า รัฐบาลสามารถพิมพ์แบงค์ออกมาใช้เองเท่าไรก็ได้ แต่ตอนนี้ไอ้เดชพอจะรู้แล้วว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นสักกะหน่อย....

ภาษีมูลค่าเพิ่มเริ่มเก็บปี พ.ศ. อะไร ไอ้เดชจำไม่ได้ แต่สโลแกนที่จูงใจให้คนไทยยอมจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดไม่ซ้ำซ้อน ชัดเจน แน่นอนและเป็นธรรม ซึ่งตอนนั้นเราจะต้องจ่ายเงินเพิ่มไปจากราคาของที่ซื้อร้อยละสาม และต่อมาก็เป็นร้อยละเจ็ด และเพิ่มเป็นร้อยละสิบตามลำดับ ถ้าเข้าไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตในเมืองแล้วละก้อไอ้เดชเป็นเก็บบิลราคาของไว้ดูนานๆ เสมอ เพราะเสียดาเงินที่ต้องจ่ายไป แต่ไม่รู้ว่าต้องจ่ายไปให้ใคร ถึงไอ้เดชจะเป็นคนชนบท แต่มันก็พยายามอดทนและมุ่งมั่น ความหวังว่าจะได้ทำงานตามห้างใหญ่ๆ มีเจ้านายใจดีรับมันไว้ทำงาน แต่เมื่อพ่อมาเสียชีวิตและตกต้นตาลเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้มันไม่สามารถที่จะเรียนต่อได้ ความที่ว่าจะได้ทำงานดีๆ เป็นอันว่าวืดไป

แม้ว่าแม่จะพยายามคะยั้นคะยอให้เรียนต่อให้จบ แต่ไอ้เดชไม่อยากเรียนต่อให้จบ แต่ไอ้เดชไม่อยากเรียนต่ออีก เพราะสงสารแม่และน้องๆ ต้องลำบาก ทั้งๆ ที่แม่จะยอมขายที่นาและสวนตาลที่เป็นมรดกของพ่อให้แก่อาเสี่ยในตลาด เพราะเขามาติดต่อไว้แล้ว ว่าจะมาซื้อที่และสร้างโรงสีในหมู่บ้านนี้

“มะ ถ้าเราขายที่และได้เงินมาแล้ว ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเราจะสามารถเก็บเงินไว้ให้พวกฉันเรียนกันจนจบหรือเปล่า แต่รู้ข่าวว่ามีคนมาทาบทามที่ดินเท่านั้นแหละ เห็นญาติของมะมาเยี่ยมกันจนหัวกระไดบ้านไม่แห้งแล้ว คร้านจะมาออดอ้อนกันจนมะต้องประเคนให้พวกเขาไปจนหมด”

ไอ้เดชหยุดหายใจ กล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่างที่แค่นขึ้นมาจุกคอหอย เหลือกมองไปหาทางแม่นิดหนึ่ง แล้วตัดสินใจพูดต่อ

“ส่วนไอ้เดช อาเสี่ยหมูตอน...พุงพลุ้ย...ที่มาติดต่อจะซื้อที่ดินนั้นก็เหมือนกัน ฉันเห็นมันตาเยิ้ม ทำท่ากรุ่นกริ่มกับมะ ฉันก็เกลียดมัน และขยะแขยงมันจนอยากจะอ้วก คอยดูนะมะ ถ้ามันมาอีกหน ฉันจะสับคอมันกับมีปาดตาลนี่แหละ”

ไอ้เดชทำตาขึงขัง แม่มันหันขวับมาถลึงตาเข้าใส่ พูดเสียงดัง

“ไอ้เดช แกนี่มันมากเรื่องขึ้นทุกวันนี่หว่า เดี๋ยวก็โนหรอก...ได้นี่...”

ว่าไม่ว่าเปล่า ฉวยเปลือกลูกตาลอ่อนปาไล่โดนก้นไอ้เดช มันตกใจเหมือนกัน แต่พอหันไปเห็นเป็นเปลือกลูกตาลอ่อนผ่าซีก ที่วางระเกะระกะอยู่บนนอกชาน ซึ่งน้องๆ ของมันแกะกินกันหลังจากกลับจากโรงเรียนเมื่อวาน มันก็เกาก้น ทำท่าคันหยิบๆ และแหย่หยอกแม่นิดหน่อย เพื่อว่าจะได้หายเคือง แล้วมันก็รีบโกย หลบเข้าป่าละเมาะหายไป



อ่านต่อตอนหน้า

 

Copyrights © 2009 www.nisavariety.com All Rights Reserved.
counter